

“เรากำลังทยอย ฉีดวัคซีน ให้กับประชากรในประเทศให้ได้มากที่สุด เพื่อให้เราสามารถกลับสู่ภาวะปกติได้” เขากล่าวเมื่อวานนี้ นายอนุทิน คาดการณ์ว่า ภายในสิ้นเดือนธันวาคมนี้ ประเทศจะมีการวัคซีนรวมกันประมาณ 125 ล้านโดส นอกจากนี้ ยังมีการเร่งฉีดวัคซีนอย่างรวดเร็ว
เนื่องในวันมหิดล เมื่อวานนี้ ซึ่งเป็นวันหยุดราชการด้วย ทำให้ประชาชนได้รับวัคซีน ในวันเดียวกว่า 1.3 ล้านโดส ทั่วประเทศซึ่งถือว่า เป็นจำนวนสูงสุดตั้งแต่ เริ่มฉีดวัคซีนมา นอกจากนี้ ยังนับเป็นครั้งแรกที่มีการฉีดวัคซีนบูสเตอร์ ให้กับสาธารณชนทั่วไปด้วย
“ความมั่นคงในการจัดหาวัคซีนและการฉีดวัคซีนอย่างสม่ำเสมอเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการเริ่มต้นระบบเศรษฐกิจใหม่” นายอนุทิน กล่าวเสริม
นอกจากนี้ มีการเสนอการให้มีการฉีดเข็มกระตุ้น แก่ผู้ที่ได้รับวัคซีน Sinovac สองโดส ระหว่าง เดือน มีนาคมถึง มิถุนายน โดยเข็มบูสเตอร์ นี้จะช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน เพื่อให้ร่างกายต่อสู้กับสายพันธุ์ เดลต้า ได้ “ผู้ที่มีสิทธิ์ได้รับเข็มที่สามควรลงทะเบียน เพื่อรับการฉีดวัคซีน” นายอนุทินกล่าว พร้อมทั้งระบุว่าในตอนนี้ รัฐบาลได้จัดให้มีวัคซีนเพิ่มขึ้นแล้ว
และจะมีการเร่งฉีด กระจายให้ครอบคลุม ทุกกลุ่มประชากร นอกจากนี้ รัฐบาลยังได้สั่งวัคซีน ไฟเซอร์ ที่ผลิตขึ้นโดยใช้เทคโนโลยี mRNA โดยรัฐบาลได้สั่งซื้อประมาณ 30 ล้านโดส โดยจะเริ่มได้รับตั้งแต่ ปลายเดือนนี้จนถึงสิ้นปี
โดยวัคซีนไฟเซอร์ เหมาะสำหรับประชากรที่มีอายุ 12 ปีขึ้นไป กระทรวงสาธารณสุข และกระทรวงศึกษาธิการได้รณรงค์ให้มีการฉีดวัคซีน แก่นักเรียนอายุระหว่าง 12 ถึง 18 ปี เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับ การกลับไปเรียนตามปกติในช่วงภาคเรียนที่ 2 โดยจะเริ่มเรียน ที่โรงเรียนในช่วงเดือน พฤศจิกายนนี้
นพ.เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า ล่าสุดประเทศได้ฉีดวัคซีน ครบ 50 ล้านโดส ในแผนการฉีดวัคซีนครอบคลุม 44% ของประชากรที่ได้รับวัคซีนเข็มแรก เป้าหมายสูงสุดคือการฉีดให้ครบ2โดสในประชากร 50 ล้านคน
นอกจากนี้ ข่าว นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า ปริมาณวัคซีนที่ฉีดในแต่ละวัน จะเป็นตัวกำหนดปริมาณวัคซีน ที่จำเป็น โดยเมื่อวานนี้ มีรายงานผู้ติดเชื้อรายใหม่ 11,975 ราย โดยมีปริมาณผู้ป่วยรายวัน และอัตราที่ลดลงตามมาตรการป้องกัน
และการฉีดวัคซีนที่เริ่มครอบคลุม และจำนวนผู้เสียชีวิต เมื่อวานนี้อยู่ที่ 127 ราย และจำนวนผู้ป่วยโควิด-19 ขั้นรุนแรงที่ติดเชื้อในปอด ลดลงเหลือ 3,323 ราย และผู้ที่ต้อง ใส่เครื่องช่วยหายใจเหลือ 729 รายทั่วประเทศ