

ข่าวกำลังเป็นที่ฮือฮาโด่งดังของพรรคประชาธิปัตย์ แล้วก็คือเรื่องราวของรองหัวหน้าพรรคที่มีนามว่า ปริญญ์ ภายหลังถูกแจ้งความข้อหา อนาจาร มากถึง 2 คดี อีกทั้งยังมีคดีการข่มขืนกระทำชำเราอีก 1 คดี รวมเป็น 3 คดี โดยทั้งหมดนั้นเจ้าตัวได้เข้าพบกับเจ้าหน้าที่ตำรวจสนลุมพินีเป็นที่เรียบร้อย
และปริญญ์ปฏิเสธลั่นกับข้อหาต่างๆ ในทุกคดี โดยตำรวจมีการนัดฝากขังศาล ในช่วงของเช้าวันที่ 17 เมษายน 2565
พร้อมทั้งมีการขอคำสั่งห้ามเดินทางออกนอกประเทศอย่างเด็ดขาด โดยในตอนนี้พนักงานสอบสวนได้เร่งรัดในการรวบรวมพยานหลักฐานในคดี ให้มีความหนาแน่น อีกทั้งยังเน้นทางด้านหลักฐานทางด้านเทคโนโลยี และวิทยาศาสตร์ โดยทนายตั้มยังมีการเผยอีกว่ายังมีเหยื่อถูกข่มขืนอีก 5 คน เตรียมเข้าแจ้งร้องทุกข์อีกในวันจันทร์ที่ 18 เมษายน ซึ่งอัปเดตใหม่ล่าสุดสำหรับข่าวสาวเชียงใหม่อีก 1 ร้องทุกข์ตำรวจต้องเอาผิดให้จงได้
โดยต่อมาเมื่อเวลา 8.00 น. ในวันที่ 16 เมษายน 2555 ที่สนลุมพินี นายปริญญ์พานิชภักดิ์ ตำแหน่งอดีตรอง หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ที่มีการเดินทางมาพร้อมกับทนายความส่วนตัวได้ก็คบกับพันตำรวจเอกนิมิต นูโพนทอง ผู้กำกับสน.ลุมพินี ทันทีเพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจก่อนที่พนักงานสอบสวนนั้นจะได้เดินทางไปขออนุมัติหมายจับ ยังมีผู้เสียหายเป็นผู้หญิงมากถึง 4 คนได้ทำการเข้าแจ้งความดำเนินคดีกับนายปริญญ์ ซึ่งมีการกล่าวหาโดยตรงว่า มีความผิดฐานกระทำอนาจาร และข่มขืนกระทำชำเรา โดยนายปริญญ์ได้เดินทางมากับรถยนต์ BMW730 LD สีขาวทะเบียนป้ายแดง ฮ 1189 กรุงเทพมหานคร แล้วทำการเดินหลบเข้าตัวอาคารด้านหลังโรงพักเข้าไปทันที
โดยสำหรับไฮโซคนดัง ณ ขณะนี้ยังมีเดี๋ยวติดต่อมาอีก 5 – 6 คนที่ติดต่อโดยตรงไปถึงภรรยาของตนอีกหลายคน ซึ่งยังมีกรณีที่เพื่อนในสมัยเรียนของผู้ถูกกล่าวหาในขณะนี้เรียนอยู่ที่ประเทศอังกฤษ ตอนนั้นมีอายุเพียงแค่ 17 ปีกับถูกผู้ต้องหาชักชวนไปในสถานที่เสี่ยงต่อสถานการณ์ล่อแหลม โดยยังมีอยู่หลายคนมีหลักฐานต่างกันออกไปในตอนนี้
โดยหลักฐานส่วนใหญ่นั้นจะมีวิธีพูดคุย และวิธีแชต ซึ่งอยากให้สังคมเข้าใจในเรื่องหลักฐานว่าผู้ชายสามารถพูดถึงเหตุการณ์ได้อย่างแม่นยำ และตรงกันเป็นที่สุด อีกทั้งยังใช้สถานการณ์เดิมๆ และคำพูดเดิมๆ กับทุกๆ คนชวนไปในสถานการณ์ที่คล้ายกัน เช่นการอ้างถึงตำแหน่งเศรษฐกิจ ชักชวนเหยื่อ หรือชักชวนภรรยาไปชี้จุดเกิดเหตุ แต่ยังไม่ได้แจ้งความเท่านั้นเอง
ทางด้าน พลตำรวจตรีจิรสันต์ จะกล่าวว่า ในคดีนี้พลตำรวจเอกสุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบตร. ได้มีการกำชับให้ดูแลทางด้านกฎหมาย และกำกับดูแลคดีด้วยตัวเอง ซึ่งเรื่องราวของคดีดังกล่าวนี้ทางโรงพักนั้น ก็สามารถทำเองได้ แต่อาจจะนำชุดสืบสวน ของ บก. น 5 มาร่วมทำงาน เพราะใน คดีดังกล่าวนี้มีผู้เสียหายเข้ามาแจ้งความร้องทุกข์เพิ่มเติม แต่ตอนนี้ยืนยันว่าไม่หนักใจที่ผู้ต้องหาเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงนักการเมือง เพราะตำรวจจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องยึดหลักตามกฎหมาย ซึ่งไม่ว่าใครก็จะต้องปฏิบัติภายใต้กฎหมายอย่างโปร่งใส และเป็นธรรมรวมถึงมั่นใจในพยานหลักฐานในคดี ที่ใช้ในการฝากขังตำรวจนั้นยังจะมีการขอศาลได้กำหนดเงื่อนไขมาให้เจ้าตัว หรือผู้ถูกกล่าวหาเดินทางออกนอกประเทศอีกด้วย พร้อมทั้งประสานงานตรวจคนเข้าเมืองเพื่อจับตาเฝ้าระวังการหลบหนีเป็นที่เรียบร้อยแล้ว